ลายนิ้วมือของเมย์ฟิลด์ : จับแพะจากอคติและความมั่นใจ

บทความโดย ฮูกนักคิด

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2004 (พ.ศ. 2547) ได้เกิดเหตุก่อการร้ายวางระเบิดรถไฟโดยสารหลายสายในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 200 คน และบาดเจ็บกว่าอีกกว่า 1,400 คน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสเปนเจอรอยนิ้วมือแฝง (อ้างอิงในการสืบสวนว่า Latent Fingerprint Number 17 หรือ “LFP 17”) ที่ถุงพลาสติกสีฟ้าบรรจุอุปกรณ์จุดชนวนระเบิดและระเบิดที่เหลือบางส่วนอยู่ภายในรถตู้ที่ถูกขโมยมาจอดทิ้งไว้ จึงได้แชร์ข้อมูลกับเอฟบีไอผ่านทางองค์การตำรวจสากล (Interpol) ซึ่งเมื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูล IAFIS (Integrated Automated Fingerprint Identification System) ของเอฟบีไอ โดยวิธีการค้นหาด้วยระบบคอมพิวเตอร์จากหลายล้านลายพิมพ์นิ้วมือในฐานข้อมูลแล้ว ปรากฏว่ามีลายพิมพ์นิ้วมือที่คล้ายคลึงกันกับ LFP 17 จำนวน 20 ตัวอย่าง ซึ่งต่อมาผู้ตรวจพิสูจน์ของเอฟบีไอได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบแล้วสรุปว่า ลายพิมพ์นิ้วมือของแบรนดอน เมย์ฟิลด์ (Brandon Mayfield) บุคคลผิวขาว สัญชาติอเมริกัน ผู้อาศัยอยู่ที่รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ตรงกับลายนิ้วมือ LFP 17 ที่ปรากฏบนถุงพลาสติก และจากการตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งของผู้ตรวจพิสูจน์อีกสองคนของเอฟบีไอก็ยืนยันเช่นเดียวกัน ผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวทำให้เอฟบีไอทำการสืบสวนเชิงลึกจนพบข้อมูลว่า เมย์ฟิลด์ซึ่งขณะนั้นอายุ 37 ปี มีบุตร 3 คนได้แต่งงานกับหญิงผู้อพยพชาวมุสลิมจากอียิปต์และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังเคยเป็นทนายความในคดีเรื่องอำนาจปกครองบุตร ให้แก่ผู้ก่อการร้ายที่ถูกตัดสินลงโทษฐานให้การสนับสนุนอัลเคดาและทาลีบัน ข้อมูลดังกล่าวทำให้เอฟบีไอปักใจเชื่อไปแล้วว่าเมย์ฟิลด์คือผู้ก่อการร้ายในคดีนี้ ถึงแม้ว่าหลักฐานอีกทางหนึ่งจะปรากฏว่า เมย์ฟิลด์ไม่เคยมีประวัติอาชญากรมาก่อน แต่การที่มีลายนิ้วมือของเมย์ฟิลด์ในฐานข้อมูลก็เพราะเมย์ฟิลด์เคยเป็นทหารในกองทัพสหรัฐอเมริกามาถึงแปดปี และก่อนหน้านี้เมย์ฟิลด์ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลากว่าสิบปี พาสปอร์ตของเมย์ฟิลด์เองก็หมดอายุไปเป็นปีก่อนเกิดเหตุโดยที่ไม่มีการต่ออายุ แต่เอฟบีไอก็ยังทำการติดตามความเคลื่อนไหวของเมย์ฟิลด์อย่างไม่ลดละตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและยังมีการแอบเข้าค้นบ้านของเขาอีกด้วย

แม้ว่าต่อมาเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2004 สำนักงานตำรวจแห่งชาติสเปนได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์จากห้องแล็บปฏิบัติการของสเปนว่า ลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์นั้นไม่ตรงกับลายนิ้วมือ LFP 17 แต่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็ยังคงมั่นใจว่าเมย์ฟิลด์คือคนร้าย เพียงแต่ยังไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบเพียงพอที่จะจับกุมเมย์ฟิลด์ในข้อหาก่อการร้าย จึงได้ทำการขอหมายจากศาลเพื่อจับเมย์ฟิลด์มาคุมขังไว้ก่อนตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2004  ในฐานะพยานสำคัญ (material witness) ระหว่างนั้นศาลได้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญอิสระ (independent expert) มาทำการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมืออีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอิสระก็ยืนยันอีกเสียงว่า LFP 17 เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์ จนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2004 สำนักงานตำรวจแห่งชาติสเปนยืนยันผลการตรวจสอบว่าลายนิ้วมือ LFP 17  ดังกล่าวตรงกับนายอูนนาน ดู๊ด (Ouhnane Daoud) ผู้ถือสัญชาติอัลจีเรีย  เมย์ฟิลด์จึงได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 20 พฤษภาคม 2004 ตามคำร้องขอของพนักงานอัยการเมืองพอร์ทแลนด์ และเมื่อเอฟบีไอได้ทำการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือของดู๊ดแล้ว ก็ได้ถอนผลการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือของเมย์ฟิลด์ ภายหลังเอฟบีไอได้ทำการขอโทษเมย์ฟิลด์และจ่ายค่าชดเชยให้เมย์ฟิลด์ 2 ล้านดอลลาร์ โดยสรุปว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากมนุษย์ ไม่ใช่เกิดจากระบบหรือเทคโนโลยี

ความมั่นใจเกินไป (overconfidence) และอคติยืนยันความเชื่อของตนเอง (confirmation bias) เป็นส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาด

จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐได้ทำการตรวจสอบความผิดพลาดของเอฟบีไอในกรณีนี้และพบว่า เหตุเกิดจากความผิดพลาดของผู้ตรวจพิสูจน์คนแรกที่ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างลายพิมพ์นิ้วมือ (LFP 17) ให้ถี่ถ้วนก่อน ทำให้ไม่เห็นถึงจุดแตกต่างที่สำคัญหลายจุดระหว่าง LFP 17 และลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังให้ความเห็นว่าความมั่นใจเกินไป (overconfidence) ในระบบ IAFIS ของเอฟบีไอและแรงกดดันจากการทำคดีสำคัญซึ่งเป็นที่จับตามองก็มีส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาดดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ การที่ระบบตรวจสอบตามลำดับชั้นอาจทำให้เกิดอิทธิพลทางความคิดได้ เมื่อผู้ตรวจพิสูจน์เกิดอคติยืนยันความเชื่อของตนเอง (confirmation bias) โดยไม่รู้ตัว กล่าวคือ เมื่อผู้ตรวจพิสูจน์คนแรกสรุปผลการตรวจพิสูจน์ว่าตรงกับลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์ การที่ผู้ตรวจพิสูจน์คนที่สองและสามทำการตรวจพิสูจน์โดยรู้ผลการตรวจสอบของผู้ตรวจพิสูจน์คนแรกมาก่อนก็ทำให้โน้มเอียงที่จะคล้อยตามสรุปไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ตรวจพิสูจน์คนแรกเป็นผู้บังคับบัญชาที่ได้ชื่อว่ามีเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงเป็นที่ยอมรับด้วยแล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวตรงกับการศึกษาของโซโลมอน แอช (Solomon Asch) ที่พบว่าคนเรามีพฤติกรรมการคล้อยตามความเห็นของผู้อื่น โดยระดับการคล้อยตามนี้จะมีผลมากที่สุดเมื่อเกิดการรับรู้ว่าแหล่งข้อมูลเป็นผู้ชำนาญการหรือน่าเชื่อถือ และเมื่อมีปัจจัยความยากหรือความเร่งด่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เอฟบีไอไม่ได้ฉุกคิดหรือพยายามทบทวนว่าอาจเกิดข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่ ในการตรวจพิสูจน์ของตน หลังจากได้รับแจ้งจากทางการสเปนว่าผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์ไม่ตรงกับ LFP 17 แต่เอฟบีไอกลับยืนยันด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม (absolutely confident) ในผลการตรวจสอบของตนว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของเมย์ฟิลด์อย่างแน่นอนโดยไม่ทำการตรวจสอบอีกครั้งนั้น เป็นผลมาจากความมั่นใจเกินไปในฝีมือและความเชี่ยวชาญของผู้ตรวจพิสูจน์ของเอฟบีไอนั่นเอง

นอกจากนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับการที่เมย์ฟิลด์เป็นมุสลิมและเคยเป็นทนายให้กับผู้ก่อการร้าย แม้จะไม่มีอิทธิพลต่อการตรวจพิสูจน์ในครั้งแรก เพราะขณะนั้นผู้ตรวจพิสูจน์ทั้งสามรายไม่ได้ทราบถึงข้อมูลดังกล่าว แต่ถือว่ามีผลในภายหลังดังเห็นได้จากการที่แม้ทางการสเปนจะแย้งผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าว ก็ไม่ทำให้เอฟบีไอที่ตอนนั้นรู้ถึงข้อมูลส่วนตัวของเมย์ฟิลด์ที่สอดคล้องกับความเชื่อมั่นในความสามารถของระบบการตรวจพิสูจน์ของตนกลับไปทบทวนอีก โดยผู้ตรวจพิสูจน์คนหนึ่งยอมรับว่าหากลายพิมพ์นิ้วมือนั้นไม่ใช่ของเมย์ฟิลด์ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังกล่าว เอฟบีไออาจจะทำการทบทวนผลการตรวจพิสูจน์อีกครั้งด้วยความรอบคอบมากยิ่งขึ้นและเห็นถึงความผิดพลาดได้

อุทาหรณ์เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เราเชื่อว่าถูกต้องนั้น แท้จริงแล้วก็ขึ้นอยู่กับอคติทางจิตวิทยาของผู้ตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานนั้นเช่นกัน แม้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่ก็ต้องยอมรับว่าอคติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจสอบมีอิทธิพลยิ่งต่อการแปลความผลการตรวจพิสูจน์ ดังนั้น การตัดสินใจดำเนินการใดๆ ในกระบวนการยุติธรรมจำเป็นต้องตระหนักถึงอคติดังกล่าวด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิดที่แท้จริง

สนใจค้นคว้าเพิ่มเติม : A Review of the FBI’s Handling of the Brandon Mayfield Case

เกี่ยวกับผู้เขียน

ฮูกนักคิด

ฮูกระดับบอส