ข่าวประชาสัมพันธ์
วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ตรวจราชการเพื่อรับฟังนโยบายและชี้แจงปัญหาและอุปสรรค ของสำนักงานการบังคับคดี โดยมี ร้อยตำรวจเอก โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ คณะผู้บริหาร และข้าราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชนนี
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. ร้อยตำรวจเอก โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี ประชุมคณะผู้บริหารและข้าราชการของสำนักงานการบังคับคดี เพื่อหารือการปฏิบัติราชการ ณ อาคารถนนบรมราชชนนี ชั้น ๖
วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. ร้อยตำรวจเอก โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี ประชุมคณะผู้บริหารและข้าราชการของสำนักงานการบังคับคดี เพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติงาน ณ อาคารถนนบรมราชชนนี ชั้น ๖
วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ ร้อยตำรวจเอก โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี นำผู้บริหารและบุคลากรของสำนักงานการบังคับคดี ร่วมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอาคารถนนบรมราชชนนี เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ของสำนักงานการบังคับคดี
วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๖ พนักงานอัยการและบุคลากรในสังกัด สำนักงานการบังคับคดี ร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่บุคลากรที่จะโยกย้ายและเกษียณอายุราชการ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชชนนี
วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี พร้อมด้วยพนักงานอัยการ และบุคลากรในสังกัด ร่วมแสดงมุทิตาจิต แด่ท่านรจนา เหมะกรม ที่ปรึกษาอธิบดีอัยการ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชชนนี
สำนักงานการบังคับคดีร่วมกับสำนักงานการสอบสวน จัดพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ อาคารถนนบรมราชชนนี สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานการบังคับคดีร่วมกับสำนักงานการสอบสวน จัดพิธีลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖
ณ อาคารถนนบรมราชชนนี สำนักงานอัยการสูงสุด
วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. รองอธิบดีอัยการ ว่าที่ร้อยตรี ไพฑูรย์ ลิมปติยากร พร้อมคณะร่วมประชุมหารือแนวทางการดำเนินการบังคับคดีโทษปรับอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด โดยสำนักงานการบังคับคดีกับกรมบังคับคดี
สำนักงานการบังคับคดีร่วมกับสำนักงานการสอบสวน จัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ อาคารถนนบรมราชชนนี สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานการบังคับคดีจัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับคดีภาครัฐ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
กิจกรรม : อบรมเสริมสร้างศักยภาพการปฏิบัติงานในการบังคับคดี
วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ๐๙.๐๐ น. นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รักษาการในตำแหน่ง รองอัยการสูงสุด เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับคดีภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ กิจกรรม : อบรมเสริมสร้างศักยภาพการปฏิบัติงานในการบังคับคดี ณ โรงแรมเวลคัมเวิลด์ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา (พัทยาใต้) ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังชลบุรี โครงการดังกล่าวสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖ – ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เพื่อพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานในการบังคับคดีให้แก่ผู้เข้าอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจในการดำเนินการบังคับคดี ขั้นตอนดำเนินงานตามกฎหมายจนเสร็จสิ้นกระบวนการเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนสามารถขับเคลื่อนงานด้านการบังคับคดีให้บรรลุเป้าประสงค์ในภารกิจด้านการรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชนของสำนักงานอัยการสูงสุด
วันอังคารที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี
พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการสำนักงานการบังคับคดี ร่วมกันสรงน้ำพระ รดน้ำขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ (ประเพณีสงกรานต์ ๒๕๖๖) ในโอกาสดังกล่าว ข้าราชการฝ่ายอัยการสำนักงานการบังคับคดี
ได้เข้ารดน้ำขอพร เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี
และ คณะผู้บริหาร ณ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี
วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๙.๐๐ น. เรือเอกณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี และคณะ ร่วมประชุมเพื่อพิจารณา แสดงความคิดเห็นและกำหนดแนวทางในการร่างบันทึกความร่วมมือ ว่าด้วยการบังคับผู้ต้องโทษปรับและการบังคับคดีผู้ประกัน ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ แจ้งวัฒนะ
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายประพัฒน์พงศ์ สุคนธ์ ผู้ตรวจการอัยการ ตรวจราชการเพื่อรับฟังนโยบายและชี้แจงปัญหาและอุปสรรค ของสำนักงานการบังคับคดี โดยมี เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ และคณะผู้บริหาร พนักงานอัยการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชนนี
วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. รองอธิบดีอัยการ ว่าที่ร้อยตรี ไพฑูรย์ ลิมปติยากร พร้อมคณะร่วมประชุมหารือแนวทางการดำเนินการบังคับโทษปรับริบทรัพย์สินจำเลยในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ ปปง. มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยสำนักงานการบังคับคดีกับ ปปง. และกรมบังคับคดี
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. อัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๒ และคณะ ร่วมประชุมหารือแนวทาง เรื่อง การบังคับคดีสินทรัพย์ดิจิทัล ระหว่าง สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุดกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ อัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๑ – ๓ และคณะ ร่วมประชุมข้อราชการ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเกี่ยวกับการบังคับคดี ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด
ณ ห้องประชุมสำนักกฎหมายและวิชาการศาลยุติธรรม อาคารศาลอาญา ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เรือเอกณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือข้อราชการ โดยมีข้าราชการอัยการ เจ้าพนักงานคดีและนิติกร ของสำนักงานการบังคับคดี เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชนนี
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๖ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ รองอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายสราวุธ ปิตุเตชะ เลขาธิการสำนักงานอัยการสูงสุด
ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าการปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี
โดยมี เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดีและคณะให้การต้อนรับ
วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ นางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติราชการและให้กำลังใจข้าราชการฝ่ายอัยการ และบุคลากร สำนักงานการบังคับคดี ณ อาคารถนนบรมราชชนนี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี ประชุมคณะผู้บริหารและข้าราชการของสำนักงานการบังคับคดี เพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติงาน ณ อาคารถนนบรมราชชนนี ชั้น ๖
วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ เวลา ๙.๕๙ น. เรือเอก ณัฐวัฒน์ จิตรสำเริง อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี นำผู้บริหารและบุคลากรของสำนักงานการบังคับคดี ร่วมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอาคารถนนบรมราชชนนี เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ของสำนักงานการบังคับคดี
๑๓ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. ท่านมานัส รัตนนาคะ ผู้ตรวจการอัยการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูลการถือครองหลักทรัพย์ (MOU) ระหว่าง สำนักงานอัยการสูงสุดกับ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
โดยมีนางกอร์ปกุล วินิจนัยภาค อธิบดีอัยการ และคณะผู้บริหารของสำนักงานการบังคับคดี ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม ๑๒๐ ปี สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
อธิบดีอัยการ ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดสำนักงานการบังคับคดีร่วมกิจกรรมจิตอาสาสาธารณประโยชน์และบำเพ็ญกุศลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕
กิจกรรมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณศาลพระไพศรพณ์ พระพรหม เจ้าที่และศาลตายาย ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น.
อธิบดีอัยการสำนักงานการบังคับคดีและคณะเข้าร่วมพิธีถวายพระพรและถวายสัตย์ปฏิญาณฯ
ในวันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๙.๓๐ น. ณ อาคารถนนบรมราชชนนี
อธิบดีอัยการ และคณะผู้บริหาร พนักงานอัยการ และข้าราชการ ของสำนักงานการบังคับคดี ร่วมนำเสนอข้อมูลประกอบการตรวจราชการ ณ สำนักงานการบังคับคดี
๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายมานัส รัตนนาคะ ผู้ตรวจการอัยการ ตรวจราชการ สำนักงานการบังคับคดี ผ่านระบบโปรแกรมประชุมออนไลน์ (Zoom) โดยมี อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี และคณะผู้บริหาร พนักงานอัยการ และข้าราชการร่วมนำเสนอข้อมูลประกอบการตรวจราชการ ณ สำนักงานการบังคับคดี
อธิบดีอัยการและบุคลากร สำนักงานการบังคับคดีร่วมประชุมหารือข้อขัดข้อง ในการสั่งสำนวนแต่ละประเภท
อธิบดีอัยการ รองอธิบดีอัยการและอัยการพิเศษฝ่าย พนักงานอัยการและบุคลากรของสำนักงานการบังคับคดี
ร่วมประชุมหารือข้อขัดข้องในการสั่งสำนวนแต่ละประเภทและ โอกาสนี้ที่ประชุมได้มอบของที่ระลึกแด่ท่านวนิดา สุวรรณบริบาล
เนื่องในโอกาสย้ายไปปฏิบัติราชการ ณ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมาย ๓
ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารถนนบรมราชชนนี
(นายมนัส รัตนนาคะ) พร้อมหารือแนวทางการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔
อธิบดีอัยการสำนักงานการบังคับคดีและคณะเข้าพบแสดงความยินดีกับท่านผู้ตรวจการอัยการ (นายมนัส รัตนนาคะ)
พร้อมหารือแนวทางการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคมศกนี้
อธิบดีอัยการสำนักงานการบังคับคดีและคณะร่วมประชุมหารือข้อราชการกับคณะผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม
อธิบดีอัยการสำนักงานการบังคับคดีและคณะ ร่วมประชุมหารือข้อราชการกับคณะผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม
อธิบดีอัยการและคณะประชุมร่วมกับสมาคมธนาคารไทย (โดยระบบ Microsoft Teams)
อธิบดีอัยการสำนักงานการบังคับคดีและคณะประชุมร่วมกับสมาคมธนาคารไทย (โดยระบบ Microsoft Teams) เรื่อง การรับส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการตรวจสอบทรัพย์สิน
ตามนโยบาย “มุ่งเน้นการพัฒนาสำนักงานอัยการสูงสุดให้เป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกระบวนยุติธรรมของประชาชน”
ประชุมผู้บริหาร สำนักงานการบังคับคดี ครั้งที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
สำนักงานการบังคับคดีจัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตฯ
สำนักงานการบังคับคดี จัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการฝ่ายอัยการที่ปฏิบัติงานด้านการบังคับคดี
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการฝ่ายอัยการที่ปฏิบัติงานด้านการบังคับคดี ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้แอปพลิเคชั่น Zoom พิธีเปิดโครงการโดย รองอัยการสูงสุด (ท่านชาตรี สุวรรณิน)
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการฝ่ายอัยการที่ปฏิบัติงานด้านการบังคับคดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้แอปพลิเคชั่น Zoom ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน
อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี (ท่านพันธุ์โชติ บุญศิริ) ให้เกียรติบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ประวัติความเป็นมาของสำนักงานการบังคับคดี”
สำนักงานการบังคับคดี ได้เข้าร่วมกิจกรรมวันฉัตรมงคล
เนื่องด้วยวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นวันฉัตรมงคล
สำนักงานการบังคับคดี ได้เข้าร่วมพิธีวันฉัตรมงคล
ณ ห้องโถง ชั้นที่ ๑ สำนักงานอัยการสูงสุด (อาคารถนนบรมราชชนนี) เวลา ๑๐ : ๐๐ น.
- ๑.) บันทึกข้อตกลง MOU ระหว่าง สำนักงานการบังคับคดี และศาลอาญา Download
- ๒.) บันทึกข้อตกลง MOU ระหว่าง สำนักงานการบังคับคดี และ กลต. Download
- ๓.) บันทึกข้อตกลง MOU ระหว่าง สำนักงานการบังคับคดี และ กรมบังคับคดี Download
- หนังสือเวียน ที่ อส ๐๐๑๙/ว ๓๙๐ เรื่องการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการดำเนินการบังคับคดีอาญา กับผู้ต้องโทษปรับ และการบังคับคดีตามสัญญาประกัน ระหว่างสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุดกับกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม Download
- ๔.) บันทึกข้อตกลง MOU ระหว่าง สำนักงานการบังคับคดี และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด Download
ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นิติกร และเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
- ใบสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นิติกร Download
- ใบสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล Download
ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกจ้างเหมาบริการ ตำแหน่งนิติกรและเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
เกี่ยวกับสำนักงาน
-สำนักงานการบังคับคดี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
-ตามประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่องการแบ่งหน่วยงาน และการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในของสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ. 2554 ให้ตั้งสำนักงานการบังคับคดี
-มีการจัดทำระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี พ.ศ. 2555 และคู่มือการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุดและพนักงานอัยการในการบังคับคดีเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมาย ทั้งสามารถร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาดำเนินการบังคับคดีได้อย่างเป็นเอกภาพ
อำนาจหน้าที่สำนักงานการบังคับคดี
สำนักงานการบังคับคดี มีอธิบดีอัยการเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
(ก) รับผิดชอบงานศูนย์กลางระบบฐานข้อมูลลูกหนี้ตามคำพิพากษา ของหน่วยงานของรัฐและจำเลยที่ถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา งานสำรวจข้อมูลทรัพย์สินและสถานะของลูกหนี้ตามคำพิพากษาของหน่วยงานของรัฐและจำเลยที่ถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา และงานการบังคับคดีแพ่ง คดีปกครอง และคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษาตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด
(ข) รับผิดชอบการดำเนินคดีทั้งปวงอันเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่ง คดีปกครอง และคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษาตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด
(ค) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ให้หน่วยงานราชการในสำนักงานการบังคับคดี มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(ก) สำนักอำนวยการ มีอำนาจหน้าที่
(๑) รับผิดชอบงานธุรการ งานสารบบคดี งานบริหารงานบุคคล งานเลขานุการ นักบริหารงานงบประมาณ งานการเงินและบัญชี งานเกี่ยวกับอาคารสถานที่ พัสดุและยานพาหนะของสำนักงานการบังคับคดี
(๒) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
(ข) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๑-๔ มีอัยการพิเศษฝ่าย เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ มีอำนาจและหน้าที่
(๑) รับผิดชอบงานสำนักงานการบังคับคดีตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด
(๒) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ประกอบกับ ตามประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงาน และการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.๒๕๕๔ ข้อ ๖ (๑๙) ให้แบ่งหน่วยงานราชการอัยการออกเป็นหน่วยงานราชการภายในสำนักงานอัยการ โดยกำหนดให้สำนักงานการบังคับคดีแบ่งหน่วยงานภายในเป็น สำนักอำนวยการ และสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๑-๔ ปัจจุบันสำนักงานการบังคับคดีมี สำนักอำนวยการ และสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๑-๓ โดยสำนักงานการบังคับคดีเปิดทำการ ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2554 ตามคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 617/2554 เรื่อง เปิดทำการสำนักงาน การบังคับคดีและโอนสำนวนการบังคับคดี สำนักงานการบังคับคดีจึงมีสำนวนที่โอนจากศูนย์ประสานงานบังคับคดี ซึ่งรับสำนวนจากสำนักงานคดีต่าง ๆ ทั่วประเทศมาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่ง คดีปกครอง คดีอาญา (โทษปรับและผิดสัญญาประกัน) ตอบข้อหารือ และดำเนินการชั้นศาลที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดี ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวจะต้องดำเนินการจนกว่าจะพ้นระยะเวลาบังคับคดี 10 ปี หรือพ้นอายุความบังคับโทษปรับ 5 ปี หรือจนกว่าตัวความจะได้รับชำระหนี้หรือค่าปรับครบถ้วนตามคำพิพากษา
ในการดำเนินการดังกล่าวได้อาศัยกฎหมายและระเบียบ ดังนี้
1. พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (7) ให้พนักงานอัยการมีอำนาจ และหน้าที่ดำเนินการตามที่เห็นสมควรเกี่ยวกับการบังคับคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
2. พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (8) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจำเลย หรือประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น
3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29/1 ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ชําระค่าปรับภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอํานาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สิน หรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อใช้ค่าปรับ การบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง ให้นําประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจหน้าที่ยึดทรัพย์สิน หรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับ และขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาลหรือพนักงานอัยการ ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดําเนินการบังคับคดี การตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับ โดยพนักงานอัยการเพื่อการบังคับคดีตามวรรคสอง ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนด ในข้อบังคับของอัยการสูงสุด บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบต่อการที่ศาลจะมีคําสั่งตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง”
4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอํานาจสั่งบังคับตามสัญญาประกัน หรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้อง ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งงดการบังคับตามสัญญาประกันหรือลดจํานวนเงิน ที่ต้องใช้ตามสัญญาประกันก็ได้ โดยคํานึงถึงความพยายามของผู้ประกัน ในการติดตามตัวผู้ต้องหาหรือจําเลย ที่หลบหนี รวมทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใดประกอบด้วย และเมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการ มีอํานาจอุทธรณ์ได้ คําวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ให้เป็นที่สุด เงินสดหรือหลักทรัพย์อื่นที่นํามาวางต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกัน ตามมาตรา ๑๑๔ ไม่อยู่ในข่ายที่ จะถูกยึดหรืออายัดเพื่อชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อื่นจนกว่าความรับผิดตามสัญญาประกันจะระงับสิ้นไป เว้นแต่ศาลเห็นว่าหนี้ของเจ้าหนี้นั้นมิได้เกิดจากการฉ้อฉลและมีคําสั่งให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว ในกรณีที่จําเป็นต้องมีการบังคับคดีเพราะผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอํานาจ ออกหมายบังคับคดีหรือคําสั่งอื่นใดเพื่อบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันได้ เสมือนว่าเป็นลูกหนี้ ตามคําพิพากษา โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการบังคับ ตามสัญญาประกัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี มีอํานาจหน้าที่ยึด หรืออายัดทรัพย์สินของผู้ประกันและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาล หรือพนักงานอัยการ และถ้าจะต้องขายทรัพย์สินที่วางเป็นหลักประกันไว้ต่อศาล เมื่อศาลส่งทรัพย์สินหรือหนังสือสําคัญสําหรับทรัพย์สินนั้นไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ให้ถือว่าได้มีการยึดทรัพย์สินดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดําเนินการบังคับคดี
การบังคับคดีตามมาตรานี้ ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม เว้นแต่ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะออกข้อบังคับกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ข้อบังคับนั้นเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้”
5. ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการบังคับคดี พ.ศ. 2555 ข้อ 41 เมื่อตรวจสอบพบว่ามีทรัพย์สินของจำเลยที่สามารถยึดมาใช้ค่าปรับได้ ให้ยื่นคำแถลงพร้อมรายละเอียดของทรัพย์สินต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินดังกล่าวใช้ค่าปรับหรือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของกรมบังคับคดีทำการยึดทรัพย์สินดังกล่าวใช้ค่าปรับ ทั้งนี้ พนักงานอัยการอาจแถลงต่อศาลเพื่อขอให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ศาลร่วมไปดำเนินการเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ รักษาทรัพย์ หรือการบังคับอื่นใดเกี่ยวกับการบังคับคดีด้วยก็ได้
วรรคสอง ในกรณีที่หมายบังคับคดีของศาลระบุได้ความว่า ให้พนักงานอัยการเป็นผู้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการยึดทรัพย์สิน ให้พนักงานอัยการมอบหมายเจ้าหน้าที่บังคับคดีและเจ้าหน้าที่ศาลตามวรรคหนึ่ง (ถ้ามี) ร่วมไปกับเจ้าพนักงานบังคับคดีของกรมบังคับคดี นำยึดทรัพย์ รักษาทรัพย์ หรือการบังคับคดีอื่นใดเกี่ยวกับการบังคับคดีตามที่พนักงานอัยการเห็นสมควร
วรรคสาม ในการบังคับคดียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา ให้นำความในหมวด 1 ว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งมาใช้โดยอนุโลม
ข้อ 42 เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ในการบังคับคดีที่ศาลออกหมายยังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล และกรณีผิดสัญญาประกันการรับสิ่งของไปดูแลรักษา ให้นำความในหมวด 1 ว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งมาใช้โดยอนุโลม
ต่อมาได้มีกฎหมายที่ตราขึ้นใหม่อีกหลายฉบับคือ
1. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 มาตรา 50 ที่บัญญัติว่า การบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของบุคคลซึ่งต้องชำระเงินแทนมูลค่าสิ่งที่ศาลสั่งริบหรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ให้กระทำได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และ ให้พนักงานอัยการหรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดี โดยให้ร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีของกรมบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาด ตามที่ได้รับแจ้งจากพนักงานอัยการหรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดำเนินการบังคับคดี
วรรคสอง การบังคับคดีตามวรรคหนึ่งให้กระทำได้แม้ว่าบุคคลซึ่งต้องชำระเงินแทนมูลค่า สิ่งที่ศาลสั่งริบถึงแก่ความตายไปแล้ว หากปรากฏว่าคำพิพากษาถึงที่สุดก่อนผู้นั้นถึงแก่ความตาย
2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ. 2560 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2560 มาตรา 66 การบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของบุคคลซึ่งต้องชําระเงินแทนมูลค่าสิ่งที่ศาลสั่งริบ หรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ให้กระทําได้ภายในสิบปี นับแต่วันที่มีคําพิพากษาถึงที่สุด และให้พนักงานอัยการ หรือสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีหน้าที และอํานาจในการดําเนินการบังคับคดี โดยให้ร้องขอให้ศาล ออกหมายบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีของกรมบังคับคดีมีหน้าที่และอํานาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจาก พนักงานอัยการหรือสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทั้งนี้ มิให้ หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดําเนินการบังคับคดี
วรรคสอง การบังคับคดีตามวรรคหนึ่งให้กระทําได้แม้ว่าบุคคลซึ่งต้องชําระเงินแทนมูลค่าสิ่งที่ศาลสั่งริบ ถึงแก่ความตายไปแล้ว หากปรากฏว่าคําพิพากษาถึงที่สุดก่อนผู้นั้นถึงแก่ความตาย
3. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125 ถ้าศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ใดซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
4. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/10 และมาตรา 63/11 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2562
มาตรา 63/10 เพื่อประโยชน์ในการบังคับทางปกครอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการ บังคับทางปกครองมีอำนาจ
(๑) มีหนังสือสอบถามสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนียน ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่มีหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินที่มีทะเบียน เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง
(๒) มีหนังสือขอให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย ระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการ บังคับทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวเท่าที่จำเป็น เนื่องจากมีเหตุขัดข้องที่ทำให้ไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ได้ทันที และเมื่อเหตุขัดข้องสิ้นสุดลงให้แจ้งยกเลิกหนังสือดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หน่วยงานตาม (๑) ที่ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการบังคับทางปกครองในการดำเนินการตาม (๑) ให้ถือว่าไม่เป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน กฎหมายว่าด้วย หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกฎหมายอื่น
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามวรรคหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้นั้นมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 63/11 ในการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินอาจร้องขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดหรือหน่วยงานอื่นดำเนินการสืบหาทรัพย์สินแทนได้ โดยให้หน่วยงานดังกล่าวมีอำนาจตามมาตรา ๖๓/๑๐ ด้วย
วรรคสอง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งชำระเงินไม่มีเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการ สืบหาทรัพย์สิน และหากจำนวนเงินที่ต้องชำระตามมาตรการบังคับทางปกครองนั้นมีมูลค่าตั้งแต่สองล้านบาทขึ้นไปหรือตามมูลค่าที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง หน่วยงานของรัฐอาจมอบหมายให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทนได้
วรรคสาม ให้เอกชนที่สืบพบทรัพย์สินได้รับค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละสองครึ่งจากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินที่สืบพบได้ ทั้งนี้ จำนวนเงินค่าตอบแทนสูงสุด ต้องไม่เกินหนึ่งล้านบาทต่อจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น หรือตามจำนวนที่กำหนดเพิ่มขึ้น โดยกฎกระทรวง
วรรคสี่ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเอกชนที่สืบหาทรัพย์สิน การกำหนดค่าตอบแทน และวิธีการ จ่ายค่าตอบแทนตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กำหนดให้พนักงานอัยการ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดีและสืบหาทรัพย์สินแทนหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง ยังไม่มีระเบียบรองรับเพื่อให้พนักงานอัยการสามารถดำเนินการได้ ทั้งระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย การดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี พ.ศ. 2555 ก็ไม่ได้กำหนดให้อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการไว้ ขณะนี้สำนักงานการบังคับคดีได้รายงานอัยการสูงสุดแล้ว ซึ่งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 1237/2562 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2562 แต่งตั้งคณะทำงานให้แก้ไขระเบียบดังกล่าว เพื่อให้อำนาจพนักงานอัยการ สำนักงานการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีรองรับการทำงานตามกฎหมายที่ตราขึ้นใหม่ดังกล่าว
ดังนั้น นับแต่นี้ นอกจากสำนักงานการบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดีสำนวนประเภทต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนดให้อำนาจในการดำเนินการบังคับคดี ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นแล้ว จะต้องดำเนินการบังคับคดีกับสำนวนบังคับคดีทุจริตและคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 และมาตา 66 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้พนักงานอัยการมีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการบังคับคดี กรณีที่บังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นแทนมูลค่าสิ่งที่ศาลสั่งริบหรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน อันหมายถึงว่า สำนักงานการบังคับคดีต้องดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่ตรวจสอบทรัพย์สินถึงยึดอายัดทรัพย์ การขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น และให้ได้เงินส่งกระทรวงการคลังเพื่อตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน
นอกจากนี้ สำนักงานการบังคับคดียังต้องดำเนินการสืบทรัพย์แทนหน่วยงานของรัฐที่ออกมาตรการคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน ตามมาตรา 63/11 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. 2539 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดให้พนักงานอัยการ ตรวจสอบทรัพย์แทนหน่วยงานของรัฐ ไปยังสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินที่มีทะเบียนเกี่ยวกับทรัพย์สินของ ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง ตามที่หน่วยงานของรัฐผู้ออกคำสั่งทางปกครองร้องขอ และ ต้องดำเนินการขอให้ระงับการจดทะเบียนต่าง ๆ ตามที่มาตรา 63/11 กำหนดให้พนักงานอัยการดำเนินการด้วย ซึ่งหน้าที่ของพนักงานอัยการตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวนั้น
จากการประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงาน และการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.๒๕๕๔ ข้อ ๖ (๑๙) ให้แบ่งหน่วยงานราชการอัยการออกเป็นหน่วยงานราชการภายในสำนักงานอัยการ โดยกำหนดให้สำนักงานการบังคับคดีแบ่งหน่วยงานภายในเป็น สำนักอำนวยการ และสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี ๑-๔ เพื่อรองรับปริมาณงานการบังคับคดีแพ่ง คดีปกครอง และคดีอาญาเฉพาะในส่วนของค่าปรับตามคำพิพากษาและคดีผิดสัญญาประกันชั้นศาลตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งต้องดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของลูกหนี้ รวมถึงต้องดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ และดำเนินคดีชั้นศาลด้วย ซึ่งในการยึดอายัดทรัพย์สิน สำนักงานการบังคับคดีได้เป็นหน่วยงานนำร่องในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานคดี ในการออกไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้นอกที่ทำการด้วย
ประกอบกับปัจจุบัน สำนักงานการบังคับคดี มีภารกิจนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้นจากประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงาน และการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.๒๕๕๔ อันเนื่องมาจากการที่มีกฎหมายใหม่ออกมา ให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดี และมีอำนาจหน้าที่ในกรณีหน่วยงานของรัฐร้องขอให้สืบหาทรัพย์แทนหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งขณะนี้ได้มีคดีสำคัญที่หน่วยงานของรัฐจัดส่งมาเพื่อให้ดำเนินการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ดังนี้
1. การบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของบุคคลซึ่งต้องชำระเงินแทนมูลค่าสิ่งที่ศาลสั่งริบหรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ให้กระทำได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และให้พนักงานอัยการเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 50 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 66 2. การดำเนินการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองแทนหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ตามมาตรา ๖๓/๑๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี พ.ศ. 2554 เพื่อให้รองรับอำนาจหน้าที่พนักงานอัยการตามที่กฎหมายกำหนด โดยในการดำเนินการขณะนี้ อัยการสูงสุดจะมอบให้สำนักงานการบังคับคดีดำเนินการเป็นรายเรื่อง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแล้ว (ตามคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 407/2563 เรื่อง การมอบหมายและมอบอำนาจให้อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดี และอธิบดีอัยการภาค ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 และหนังสือเวียนที่ อส 0019/ว 88 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 เรื่อง แนวทางการดำเนินการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองแทนหน่วยงาน ของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน ตามมาตรา ๖๓/๑๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙)
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรแห่งความยุติธรรมของสังคมเพื่อความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน”
พันธกิจ (Missions)
1.อำนวยความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส พึ่งพิงได้บนพื้นฐานของความเสมอภาค
2. รักษาผลประโยชน์ของรัฐ เพื่อประโยชน์สาธารณะและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
3. รับรู้ ดูแล แก้ปัญหาในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และเป็นที่พึ่งของประชาชนในด้านกฎหมาย
4. พัฒนาศักยภาพองค์กรให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกบนฐานความเชี่ยวชาญ
โครงสร้าง (Structure)
ค่านิยมร่วม “PUBLIC”
P : People First ประชาชนมาที่หนึ่ง
U : Uprightness เป็นที่พึ่งความยุติธรรม
B : Betterment คิดและทำเพื่อพัฒนา
L : Lawfulness รักษากฎหมายด้วยเหตุผล
I : Integrity ประพฤติตนซื่อสัตย์และโปร่งใส
C : Collaboration ร่วมมือร่วมใจสู่เป้าหมาย
กฎหมายเป็นระเบียบของสังคมที่รัฐได้บัญญัติขึ้นเพื่อใช้บังคับประชาชน โดยกำหนดสิทธิหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน และระหว่างรัฐกับประชาชน โดยมีสภาพบังคับผ่านกระบวนการวิธีพิจารณาทางศาล ให้มีการลงโทษ มีการชำระหนี้ ชดใช้ค่าเสียหาย หรือให้กระทำการ งดเว้นกระทำการ ให้ส่งมอบทรัพย์สิน หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจะต้องถูกบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งเรียกว่า “การบังคับคดี” ดังนั้น การบังคับคดีจึงมีความสำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความสงบสุขของสังคม
การบังคับคดี เป็นขั้นตอนของกฎหมายหลังจากที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี โดยปกติในคำพิพากษาของศาลนั้น ก็จะมีการกำหนดให้ฝ่ายที่แพ้คดี ซึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้ตามคำพิพากษา” ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ เช่น ให้จำเลยคืนเงินหรือให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ให้จำเลยออกไปจากที่พิพาท หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไปจากที่พิพาท หรือในคดีอาญา ศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษปรับจำเลยหรือมีคำสั่งปรับผู้ประกันจำเลย เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีกฎหมายหลายฉบับบัญญัติให้พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ดังนี้
๑. การบังคับคดีอาญา
ในปัจจุบันการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีอาญา ถ้าเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุก ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่จะต้องดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ถ้าเป็นกรณีที่ศาลลงโทษกักขัง ก็จะอยู่ในอำนาจของศาลว่าจะให้กักขังจำเลยไว้ ณ สถานที่ใด และเป็นอำนาจของเจ้าของสถานที่นั้นเป็นผู้ดำเนินการ ถ้าเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษริบทรัพย์สิน ผู้ใดเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินดังกล่าวไว้จะต้องส่งดำเนินการต่อไป เช่น ให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือของหน่วยงานใด หากผู้เก็บรักษาไว้ดังกล่าวไม่ส่งหรือไม่ดำเนินการ ศาลอาจมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินนั้น หรือให้ผู้นั้นชำระราคาหรือสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของผู้นั้นชดใช้ราคาทรัพย์สินดังกล่าวหรือสั่งกักขังผู้นั้นไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗
การบังคับคดีอาญาที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ มี ๓ กรณี ดังนี้
๑.๑ การบังคับโทษปรับ
ในคดีอาญา ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรือายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับหรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๕๙)
จะเห็นได้ว่ามาตรการที่ศาลใช้บังคับกับผู้ต้องโทษปรับที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับ หรือไม่ชำระค่าปรับ มีด้วยกัน ๒ มาตรการ คือ การยึดทรัพย์สินหรือายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ และการกักขังแทนค่าปรับ กล่าวคือ ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับแล้วไม่ชำระ และศาลมิได้มีคำสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับ ศาลจะออกหมายบังคับคดีเพื่อให้มีการดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของจำเลยเพื่อใช้ค่าปรับ โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการ เป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ทั้งนี้การดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับเพื่อใช้ค่าปรับนั้น จะต้องกระทำภายในกำหนด ๕ ปี นับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด มิฉะนั้นจะยึดหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินไม่ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๙ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐)
การบังคับโทษปรับ ถือเป็นอำนาจและหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งของพนักงานอัยการและสำนักงานอัยการสูงสุด โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙/๑ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๕๙) บัญญัติว่า
“ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ชําระค่าปรับภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอํานาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อใช้ค่าปรับ
การบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง ให้นําประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการบังคับคดีและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจหน้าที่ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาลหรือพนักงานอัยการ ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดําเนินการบังคับคดี
การตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับโดยพนักงานอัยการเพื่อการบังคับคดีตามวรรคสองให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในข้อบังคับของอัยการสูงสุด
บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบต่อการที่ศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง”
และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๗) บัญญัติว่า
“พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๗) ดำเนินการตามที่เห็นสมควรเกี่ยวกับการบังคับคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ”
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙/๑ และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๗) แล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้พนักงานอัยการ มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการบังคับโทษปรับ ซึ่งในการดำเนินการบังคับโทษปรับนั้น กฎหมายบัญญัติให้พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับตลอดจนมีอำนาจและหน้าที่ในการตั้งเรื่องยึดทรัพย์สินหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับเพื่อใช้ค่าปรับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อศาลด้วย
๑.๒ การบังคับคดีกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล
ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาลนั้น ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้อง ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งงดการบังคับตามสัญญาประกันหรือลดจำนวนเงินที่ต้องใช้ตามสัญญาประกันก็ได้ โดยคำนึงถึงความพยายามของผู้ประกันในการติดตามตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนี รวมทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใดประกอบด้วย และเมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ โดยในกรณีที่จำเป็นต้องมีการบังคับคดีเพราะผิดสัญญาประกัน พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประกัน ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๕๘) และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๘) บัญญัติให้อำนาจไว้
โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ วรรคสาม บัญญัติว่า
“ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการบังคับคดีเพราะผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีหรือคำสั่งอื่นใดเพื่อบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันได้เสมือนว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบังคับตามสัญญาประกัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี มีอำนาจหน้าที่ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ประกันและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาล หรือพนักงานอัยการ และถ้าจะต้องขายทรัพย์สินที่วางเป็นหลักประกันไว้ต่อศาล เมื่อศาลส่งทรัพย์สินหรือหนังสือสำคัญสำหรับทรัพย์สินนั้นไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ให้ถือว่าได้มีการยึดทรัพย์สินดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดำเนินการบังคับคดี”
และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๘) บัญญัติว่า
“พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๘) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจำเลย หรือประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้นในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ”
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๘) แล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้พนักงานอัยการ มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ซึ่งในการดำเนินการบังคับคดีกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาลนั้น พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ประกัน ตลอดจนมีอำนาจและหน้าที่ในการตั้งเรื่องยึดทรัพย์สินหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ประกันเพื่อชำระเงินที่ต้องใช้ตามสัญญาประกันตามคำสั่งต่อศาลจนเต็มจำนวนด้วย
๑.๓ การบังคับคดีกรณีผิดสัญญาประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษา
การบังคับคดีกรณีผิดสัญญาประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษานั้น เป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ (๘) และมาตรา ๒๓ (๗) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการและสำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการและสำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจและหน้าที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้เป็นไปตามสัญญานั้น
๒. การบังคับคดีแพ่ง
ปัจจุบันการบังคับคดีแพ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา กฎหมายบัญญัติให้พนักงานอัยการในฐานะทนายความแผ่นดินและสำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่งแทนรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐซึ่งพนักงานอัยการได้รับดำเนินคดีให้ ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๓ (๔) กล่าวคือ เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวเป็นฝ่ายชนะคดีหรือมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ศาลจะออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่ศาลกำหนด พนักงานอัยการซึ่งว่าต่างหรือแก้ต่างคดีให้แก่หน่วยงานของรัฐ จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว พนักงานอัยการในฐานะทนายความของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะแจ้งให้หน่วยงานตัวความทราบถึงการที่ศาลได้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว และสำนักงานคดีก็จะส่งสำเนาหมายบังคับคดีพร้อมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นแก่การบังคับคดีไปยังสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการบังคับคดีตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๑๐ ต่อไป ทั้งนี้ต้องร้องขอให้มีการบังคับคดีภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่ถ้าเป็นกรณีที่คำพิพากษากำหนดให้ชำระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือกำหนดชำระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลา ๑๐ ปี ตั้งแต่วันที่หนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งอาจบังคับคดีได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐)
ในบางกรณีหน่วยงานตัวความก็อาจขอให้สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีได้ด้วย โดยหน่วยงานตัวความต้องส่งสำเนาหมายบังคับคดีและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ดำเนินการบังคับคดี เมื่อสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งรับดำเนินการบังคับคดีแล้ว จะแจ้งหน่วยงานตัวความเพื่อยืนยันที่จะให้มีการบังคับคดี และให้ดำเนินการตรวจสอบสถานะและทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองการจดทะเบียน นิติบุคคลของลูกหนี้ สถานภาพของลูกหนี้และครอบครัวและอื่นๆ ที่จำเป็นส่งให้สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้นสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จะดำเนินการตรวจสอบสถานะและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี หากพบว่ามีทรัพย์สินที่สามารถบังคับคดีนำเงินมาชำระหนี้ได้ จะแจ้งผลการตรวจสอบทรัพย์สินไปยังหน่วยงานตัวความเพื่อให้ดำเนินการยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ตามขั้นตอนในการบังคับคดีต่อไป ซึ่งในการบังคับคดีแพ่ง พนักงานอัยการ หรือเจ้าหน้าที่บังคับคดีของสำนักงานการบังคับคดีจะให้ความช่วยเหลือ ปรึกษา หรือแนะนำแก่ตัวความ เพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดในการได้รับเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ ในการบังคับคดี หากต้องมีการดำเนินคดีแพ่งในชั้นศาลอันเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่งนั้น สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จะเป็นผู้ดำเนินคดีให้ด้วย
๓. การบังคับคดีปกครอง
ในการดำเนินการบังคับเพื่อให้เป็นไปตามคำบังคับของศาลปกครองนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานศาลปกครอง ซึ่งได้จัดตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่บังคับคดีปกครอง คือ สำนักบังคับคดีปกครอง
เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีแล้ว พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้คำพิพากษาศาลปกครองมีผลผูกพันคู่กรณีที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับนับตั้งแต่วันที่กำหนดในคำพิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย และในกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาให้รอการปฏิบัติตามคำบังคับไว้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ หากมีการอุทธรณ์ ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด จึงเห็นได้ว่าเมื่อศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จะยังไม่มีการปฏิบัติตามคำบังคับจนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาการอุทธรณ์และจะมีการบังคับคดีเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษาและคำบังคับดังกล่าว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องบังคับคดีภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐)
ในการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีปกครองโดยพนักงานอัยการนั้น เป็นการบังคับคดีปกครองที่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา กฎหมายบัญญัติให้พนักงานอัยการในฐานะทนายความแผ่นดินและสำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่งแทนรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐซึ่งพนักงานอัยการได้รับดำเนินคดีให้ ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๓ (๔) เมื่อศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปกครอง ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากหน่วยงานตัวความให้ดำเนินคดีปกครองแทนมีหน้าที่ส่งสำเนาหมายบังคับคดีพร้อมสำเนาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลและเอกสารที่จำเป็นแก่การบังคับคดีให้สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีตามระเบียบระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๑๐ ต่อไป
ในบางกรณีหน่วยงานตัวความก็อาจขอให้สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีได้ด้วย โดยหน่วยงานตัวความต้องส่งสำเนาหมายบังคับคดีและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ดำเนินการบังคับคดี เมื่อสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งรับดำเนินการบังคับคดีแล้ว จะแจ้งหน่วยงานตัวความเพื่อยืนยันที่จะให้มีการบังคับคดี และให้ดำเนินการตรวจสอบสถานะและทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองการจดทะเบียน นิติบุคคลของลูกหนี้ สถานภาพของลูกหนี้และครอบครัวและอื่นๆ ที่จำเป็นส่งให้สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้นสำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จะดำเนินการตรวจสอบสถานะและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี หากพบว่ามีทรัพย์สินที่สามารถบังคับคดีนำเงินมาชำระหนี้ได้ จะแจ้งผลการตรวจสอบทรัพย์สินไปยังหน่วยงานตัวความเพื่อให้ดำเนินการยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักบังคับคดีปกครอง ตามขั้นตอนในการบังคับคดีต่อไป ซึ่งในการบังคับคดีปกครอง พนักงานอัยการ หรือเจ้าหน้าที่บังคับคดีของสำนักงานการบังคับคดีจะให้ความช่วยเหลือ ปรึกษา หรือแนะนำแก่ตัวความ เพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดในการได้รับเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ ในการบังคับคดี หากต้องมีการดำเนินคดีปกครองในชั้นศาลอันเกี่ยวกับการบังคับคดีปกครองนั้น สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด จะเป็นผู้ดำเนินคดีให้ด้วย
บุคลากร
ฝ่ายงานนิติกร
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 721
ฝ่ายงานธุรการ
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 401 – 402
ฝ่ายงานธุรการ
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 417
ฝ่ายงานนิติกร
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 411 – 415
ฝ่ายงานธุรการ
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 421 – 422
ฝ่ายงานนิติกร
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 425 – 428
ฝ่ายงานธุรการ
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 437
ฝ่ายงานนิติกร
ติดต่อ 0 2434 8323-7 ต่อ 438
ทำเนียบผู้บริหาร
สถิติคดี
เอกสารเผยแพร่
ติดต่อหน่วยงาน
สำนักงานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด
อาคารถนนบรมราชชนนี เลขที่ 73/1
ถนนบรมราชชนนี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170
โทรศัพท์ 0 2434 8323 – 7
อีเมล์ execute@ago.go.th
สำนักงานอำนวยการ
ฝ่ายงานธุรการ โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 402 – 403
ฝ่ายงานนิติกร โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 721
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1
ฝ่ายงานธุรการ โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 417
ฝ่ายงานนิติกร โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 411 , 413, 415
เจ้าพนักงานคดี โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 405 , 408
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 2
ฝ่ายงานธุรการ โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 422
ฝ่ายงานนิติกร โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 428
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 3
ฝ่ายงานธุรการ โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 437
ฝ่ายงานนิติกร โทร. 0 2 434 8323 – 7 ต่อ 436 , 438